นวัตกรรมปลูกข้าวนาโยน แก้ปัญหาข้าววัชพืช เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ประหยัดเมล็ด
การทำนาโยน
วิธีการทำนาแบบใหม่ด้วยการโยนต้นกล้า ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของเกษตรกรกลุ่มเล็กๆ เนื่องจากเป็นนวัตกรรมการทำนาที่ช่วยป้องกันปัญหาการเกิดข้าววัชพืชและการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้เป้นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถทำนาได้ต่อเนื่องปีละ 3-4 ครั้งในเขตชลประทานโดยไม่ต้องใช้สารเคมีทุกชนิด ส่งผลให้คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น จึงนับเป็นทางเลือกใหม่ของการทำนาแบบยั่งยืน ภูมิปัญญาการทำนาโยนมีต้นกำเนิดที่ประเทศญี่ปุ่นและจีน สำหรับในประเทศไทยมีมาไม่นานนักและยังไม่เป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่รู้ข้อดีของการทำนาโยนต้นกล้า ซึ่งแตกต่างจากการทำนาดำหรือนาหว่านน้ำตมที่นิยมกันทั่วไป จากการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า การทำนาโยนจะช่วยให้ต้นข้าวแข็งแรงต้านทานต่อโรคพืชและแมลงศัตรูพืชระบด
ขั้นตอนของการปลูกข้าวนาโยนมีดังนี้ คือ
การเตรียมเพกล้าพันธุ์
นิยมเตรียมถาดเพาะกล้าแบบแห้ง เพราะสะดวกรวดเร็วและใช้ง่ายกว่า มีขั้นตอนคือ เริ่มจากนำขวดพลาสติกมาวางกับพื้น ซึ่งจะต้องเสมอกันโดยวางเป็นแถวตอน 2-5 แผ่นแล้วแต่ความสะดวกในการปฏิบัติงาน จากนั้นหว่านดินไปก่อนประมาณ 50-70% แล้วนำพันธุ์ข้าวไปแช่ 1 คืน หุ้ม 1 คืน เพื่อให้ข้าวแห้ง จึงค่อยหว่านเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ในอัตราประมาณ 3-5 กิโลกรัม/50-60 ถาด (561 หลุม/ถาด) หรือ 70-80 ถาด (434 หลุม/ถาด) โรยดินตามลงไปให้เต็มเสมอปากหลุมพอดี (อย่าให้ดินล้นปากหลุมเพราะซึ่งจะทำให้รากข้าวพันกันและเวลาโยนต้นกล้าก็จะไม่กระจายตัว)
สำหรับการให้น้ำระยะแรก ต้องให้เป็นฝอยละเอียดระวังอย่างให้เมล็ดข้าวกระเด็นหรือให้น้ำท่วมพื้นแปลง ซึ่งน้ำจะซึมเข้าก้นหลุมถาดเอง ต้องรักษาความชื้นจนกว่าข้าวงอกหากมีฝนตกให้หาวัสดุคลุมเช่น กระสอบปาน ชาแลนท์ ฟางข้าวมาคลุมจนกว่าข้าวจะงอก ซึ่งสามารถเพาะเมล็ดในร่มได้ เมื่อต้นกล้าอายุ 12-16 วัน นำไปโยนได้ทันที ความยาวต้นกล้าประมาณ 3-5 นิ้ว (แล้วแต่ความอุดมสมบูรณ์ของดินเพาะ) โดยใช้พื้นที่เพาะกล้าประมาณ 15 และ 20 ตารางเมตร/50-60 ถาด และ 70-80 ถาด สามารถโยนได้ประมาณ 1 ไร่
การเตรียมแปลงนา
ก่อนทำนาให้พักแปลงนาให้แห้งอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้ข้าววัชพืชพ้นระยะพักตัวหรือให้เมล็ดข้าวร่วงในนาก่อนพร้อมที่จะงอกให้ได้มากที่สุด ซึ่งข้าววัชพืชก็คือ ข้าวที่เกิดจากการผสมข้ามระหว่างข้าวป่าที่พบทั่วไปในธรรมชาติกับข้าวปลูก เช่น ข้าวหาง ข้าวดีด และข้าวแดง ซึ่งข้าววัชพืชทั้ง 3 ชนิด เป็นปัญหาร้ายแรงส่วนใหญ่เป็นลักษณะที่ชาวนาไม่ต้องการ จากนั้น ให้ขังน้ำในแปลง 1 คืน และปล่อยให้น้ำแห้งเองเพื่อล่อให้ข้าววัชพืชงอกขึ้นมาเต็มที่ (ไม่ควรพ่นสารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืช) แล้วไถกลบทุบเป็นปุ๋ย ควรล่อวัชพืชอย่างน้อย 1 ครั้ง ไถเตรียมดินเหมือนนาดำหรือนาหว่านน้ำตมทั่วไป แต่ปรับเทอกให้สม่ำเสมอมากที่สุด ในกรณีที่เป็นดินเหนียว รุ่งเช้าให้โยนต้นกล้าได้ ถ้าเป็นดินร่วนปนทรายหรือดินทรายหลังปรับเทือกให้โยนกล้าได้ทันที
การโยนต้นกล้า
ขณะโยนต้นกล้าในแปลงควรมีน้ำขลุกขลิกหรือมีเล็กน้อย และให้ดินถอยหลังโยน จับกล้าให้เต็มมือ โดยตวัดหงายมือโยนต้นกล้าขึ้นสูงกว่าระดับศีรษะ ต้นกล้าจะกระจายตัวพุ่งลงตั้งตรงกับเอนเล็กน้อย หากเห็นว่าต้นข้าวห่างกันให้โยนเพิ่มเติมได้ วิธีโยนสามารถนำอุปกรณ์คล้ายเรือลงในแปลงนาได้ เพื่อใส่ถาดเพาะกล้าครั้งละมากๆ และสะดวกในการโยนหรือถอนต้นกล้าใส่ภาชนะ หรือถังหว่านปุ๋ยนำไปโยนในนาก็ได้ ซึ่งเกษตรกร 1 คน สามารถโยนต้นกล้าได้ 3-5 ไร่/วัน
การดูแลรักษา
หลังโยนกล้า 1-2 วัน ให้เติมน้ำทันที จากนั้นให้เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ตามความสูงของข้าว และรักษาระดับน้ำที่ 5-10 เซนติเมตร จนกว่าข้าวจะคลุมพื้นนา ซึ่งมีประสิทธิภาพในการควบคุมข้าววัชพืชและวัชพืชได้ดีมากรักษาระดับน้ำจนถึงข้าวโตคลุมพื้นที่นาหรือจนถึงก่อนเก็บเกี่ยว 15-20 วัน ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 หลังโยนกล้า 10-15 วัน ด้วยสูตร 16-20-0 หรือ 18-12-6 หรือ 16-12-8 อัตรา 25-30 กิโลกรัม/ไร่ ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ให้ใส่หลังจากใส่ปุ๋ยครั้งแรก 15 วัน ด้วยสูตร 46-0-0 อัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่ ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 ให้ใส่หลังจากใส่ปุ๋ยครั้งที่สอง 15 วัน ด้วยสูตร 46-0-0 อัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่
สำหรับการเพาะปลูกข้าวไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวนาดำ ข้าวนาหว่าน หรือข้าวนาโยนกล้า ทั้ง3 วิธี จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกัน ดังนี้ โดยข้อเสียของการทำนาแบบนาดำ คือ ใช้พันธุ์ข้าวน้อย ประมาณ 3-4 กิโลกรัม/ไร่ ลดการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูวัชพืช เนื่องจากต้นข้าวสูงทำให้หญ้าขึ้นไม่ทัน และให้ผลผลิตสูง เนื่องจากนาดำจะแตกกอได้ดีกว่านาอื่นๆ ส่วนข้อเสียคือ มีค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานในการดำนา ขาดแคลนในการดำนา มีผลต่อสุขภาพของชาวนา ทำให้ปวดหลังเนื่องจากการก้มดำนา
ข้อดีของการทำนาหว่าน
คือไม่ต้องเสียเวลาในการหว่านกล้าหรือดำนา มีขั้นตอนในการทำนาหว่านไม่ยุ่งยากเท่านาดำ ง่ายและสะดวกใช้เวลาในการทำนาน้อยกว่าวิธีอื่น แต่มีข้อเสียคือ ต้องใช้พันธุ์ข้าวในปริมาณที่มากกว่านาดำหรือนาโยนกล้า คือ ประมาณ 25 กิโลกรัมต่อไร่วัชพืชงอกทันต้นข้าว เนื่องจากเป็นการหว่านเมล็ดข้าว ต้องใช้ต้นทุนการผลิตสูง ในแง่ของพันธุ์ข้าว และการใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืช
ส่วนข้อดีของการทำนาโดยวิธีการโยนต้นกล้า
คือ เป็นนวัตกรรมการทำนาวิธีใหม่ที่ป้องกันการเกิดข้าววัชพืชและวัชพืชทั่วไปได้ผลดี ช่วยประหยัดเมล็ดพันธุ์ลงได้ โดยใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 3-4 กิโลกรัม/ไร่ ไม่ต้องถอนต้นกล้าไปปักดำเหมือนนาปักดำด้วยคน ซึ่งทำให้ปวดหลัง ต้นกล้าที่โยนจะตั้งตัวได้ทันที สามารถเจริญเติบโตและแข็งแรงการแตกกอได้ดีมาก และเร็วกว่าวิธีอื่นๆ จำนวนต้นหรือกอมีมากกว่านาปักดำ การจัดการด้านโรคและแมลงได้ง่าย และได้ผลดีกว่าการหว่านน้ำตม ใช้ต้นทุนและแรงงานน้อยกว่าวิธีอื่นๆ ในแปลงที่มีข้าววัชพืชระบาด ได้ผลผลิตสูง และผลผลิตมีคุณภาพมาตรฐาน เหมาะสำหรับทำนาเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์หรือการทำนาข้าวอินทรีย์หรือการทำนาแบบเกษตรพอเพียงหรือเกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่ ฯลฯ
แต่ก็มีข้อเสียหรือข้อจำกัดของการทำนาโดยวิธีโยนต้นกล้า
คือ เกษตรกรหนึ่งครอบครัวจะทำนาแบบวิธีโยนต้นกล้าได้ไม่เกิน 10-15 ไร่/วัน มีขั้นตอนเตรียมเพาะต้นกล้าอาจยุ่งยากมากบ้างเนื่องจากต้องเพาะในถาด อุปกรณ์ถาดเพาะกล้า ยังไม่ค่อยมีจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ผู้รับจ้างทำนาแบบวิธีโยนต้นกล้ายังมีน้อย ต้องทำในเขตชลประทานที่มีการควบคุมน้ำได้ (เพื่อควบคุมข้าววัชพืช/วัชพืชทั่วไป) แหล่งที่มีหอยเชอรี่ระบาด ต้องจัดการหอยเชอรี่ก่อนโยน
สำหรับการเปรียบเทียบผลผลิตข้าวจากการทำนาด้วยวิธีการปลูกต่างๆ พบว่า ผลผลิตข้าวหว่านน้ำตมเท่ากับ 775 กก./ไร่ นาดำเท่ากับ 875 กก./ไร่ นาโยนกล้าเท่ากับ 880 กก./ไร่ (ข้อมูลของนายสมมาตร ทองใบ) นอกจากนี้การทำนาแบบวิธีโยนกล้ายังได้ผลผลิตสูงและผลผลิตมีคุณภาพ ซึ่งเหมาะสำหรับการทำนาเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์หรือการทำนาข้าวอินทรีย์หรือการทำนา แบบเกษตรพอเพียงหรือเกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นต้น
ขอขอบคุณที่มา www.phupassara.com